การรับรู้ (Perception)
การรับรู้ หมายถึง
การแปลความหมายจากการสัมผัส โดยเริ่มตั้งแต่ การมีสิ่งเร้ามา
กระทบกับอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้า และส่งกระแสประสาท ไปยังสมอง เพื่อการแปลความ
กระบวนการของการรับรู้
(Process)
เป็นกระบวนการที่คาบเกี่ยวกันระหว่างเรื่องความเข้าใจ การคิด
การรู้สึก (Sensing) ความจำ (Memory) การเรียนรู้
(Learning) การตัดสินใจ (Decision making)
Sensing
-----> Memory ------> Learning -------> Decision making
กระบวนการของการรับรู้ เกิดขึ้นเป็นลำดับดังนี้
สิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นคน
สัตว์ สิ่งของ หรือสถานการณ์ มาเร้าอินทรีย์ ทำให้เกิดการสัมผัส (Sensation) และเมื่อเกิดการสัมผัสบุคคล จะเกิดมีอาการแปล การสัมผัสและมีเจตนา (Conation)
ที่จะแปลสัมผัสนั้น การแปลสัมผัส จะเกิดขึ้นในสมอง
ทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ เช่น การที่เราได้ยินเสียงดัง ปัง ปัง ๆ
สมองจะแปลเสียงดังปัง ปัง โดยเปรียบเทียบกับเสียง ที่เคยได้ยินว่าเป็น
เสียงของอะไร เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงพลุ เสียงประทัด เสียงของท่อไอเสียรถ
เสียงเครื่องยนต์ระเบิด หรือเสียงอะไร ในขณะเปรียบเทียบ จิตต้องมีเจตนา ปนอยู่
ทำให้เกิดแปลความหมาย และ ต่อไปก็รู้ว่า เสียงที่ได้ยินนั่นคือ เสียงอะไร
อาจเป็นเสียงปืน เพราะบุคคลจะแปลความหมายได้ ถ้าบุคคลเคย มีประสบการณ์ในเสียงปืนมาก่อน
และอาจแปลได้ว่า ปืนที่ดังเป็นปืนชนิดใด ถ้าเขาเป็นตำรวจ จากตัวอย่างข้างต้นนี้
เราอาจสรุป กระบวนการรับรู้ จะเกิดได้จะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. มีสิ่งเร้า ( Stimulus ) ที่จะทำให้เกิด การรับรู้ เช่น สถานการณ์ เหตุการณ์ สิ่งแวดล้อม รอบกาย
ที่เป็น คน สัตว์ และสิ่งของ
2. ประสาทสัมผัส ( Sense Organs )
ที่ทำให้เกิดความรู้สึกสัมผัส เช่น ตาดู หูฟัง จมูกได้ กลิ่น
ลิ้นรู้รส และผิวหนังรู้ร้อนหนาว
3. ประสบการณ์
หรือความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเร้าที่เราสัมผัส
4. การแปลความหมายของสิ่งที่เราสัมผัส
สิ่งที่เคยพบเห็นมาแล้วย่อมจะอยู่ในความทรงจำของสมอง เมื่อบุคคลได้รับสิ่งเร้า
สมองก็จะทำหน้าที่ทบทวนกับความรู้ที่มีอยู่เดิมว่า สิ่งเร้านั้นคืออะไร
เมื่อมนุษย์เราถูกเร้าโดยสิ่งแวดล้อม
ก็จะเกิดความรู้สึกจากการสัมผัส (Sensation) โดยอาศัยอวัยวะสัมผัสทั้ง
5 คือ ตา ทำหน้าที่ดูคือ มองเห็น หูทำหน้าที่ฟังคือ ได้ยิน ลิ้นทำหน้าที่รู้รส
จมูก ทำหน้าที่ดมคือได้กลิ่น ผิวหนังทำหน้าที่สัมผัสคือรู้สึกได้อย่างถูกต้อง
กระบวนการรับรู้ ก็สมบูรณ์แต่จริงๆ แล้วยังมีการสัมผัสภายในอีก 3
อย่างด้วยที่จะช่วยให้เรารับสัมผัสสิ่งต่างๆ
ลำดับขั้นของกระบวนการรับรู้
การรับรู้จะเกิดขึ้นได้
ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการดังนี้
ขั้นที่ 1 สิ่งเร้า( Stimulus )มากระทบอวัยวะสัมผัสของอินทรีย์
ขั้นที่ 2 กระแสประสาทสัมผัสวิ่งไปยังระบบประสาทส่วนกลาง
ซึ่งมีศูนย์อยู่ที่สมองเพื่อสั่งการ ตรงนี้เกิดการรับรู้ ( Perception )
ขั้นที่ 3 สมองแปลความหมายออกมาเป็นความรู้ความเข้าใจโดยอาศัย ความรู้เดิม
ประสบการณ์เดิม ความจำ เจตคติ ความต้องการ ปทัสถาน บุคลิกภาพ เชาวน์ปัญญา
ทำให้เกิดการตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง การรับรู้ ( Perception )
ตัวอย่าง
ขณะนอนอยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องเรียกเหมียวๆๆรู้ว่าเป็นเสียงร้องของสัตว์
และรู้ต่อไปว่าเป็นเสียงของแมว เสียงเป็นเครื่องเร้า (Stimulus) เสียงแล่นมากระทบหูในหูมีปลายประสาท (End organ) เป็นเครื่องรับ
(Receptor) เครื่องรับส่งกระแสความรู้สึก (Impulse) ไปทางประสาทสัมผัส (Sensory nerve) เข้าไปสู่สมอง
สมองเกิดความตื่นตัวขึ้น (ตอนนี้เป็นสัมผัส) ครั้นแล้วสมองทำการแยกแยะว่า
เสียงนั้นเป็นเสียงคนเป็นเสียงสัตว์ เป็นเสียงของแมวสาวเป็นเสียงแมวหนุ่ม
ร้องทำไมเราเกิดอาการรับรู้ ตอนหลังนี้เป็น การรับรู้
เมื่อเรารู้ว่าเป็นเสียงของแมวเรียก ทำให้เราต้องการรู้ว่าแมวเป็นอะไร
ร้องเรียกทำไมเราจึงลุกขึ้นไปดูแมวตาม ตำแหน่งเสียงมี่ได้ยินและขานรับ
สมองก็สั่งให้กล้ามเนื้อปากทำการเปล่งเสียงขานรับ ตอนนี้ทางจิตวิทยาเรียกว่า
ปฏิกิริยาหรือการตอบสนอง (Reaction หรือ Response) เมื่อประสาทตื่นตัวโดยเครื่องเร้า จะเกิดมีปฏิกิริยา คือ
อาการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
กลไกของการรับรู้
กลไกการรับรู้เกิดขึ้นจากทั้ง
สิ่งเร้าภายนอกและภายในอินทรีย์ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม อวัยวะรับสัมผัส (Sensory organ)
เป็น เครื่องรับสิ่งเร้าของมนุษย์
ส่วนที่รับความรู้สึกของอวัยวะรับสัมผัสอาจอยู่ลึกเข้าไปข้างใน
มองจากภายนอกไม่เห็น อวัยวะรับสัมผัส แต่ละอย่างมีประสาทรับสัมผัส (Sensory
nerve) ช่วยเชื่อมอวัยวะรับสัมผัสกับเขตแดนการรับสัมผัสต่าง ๆ
ที่สมอง และส่งผ่านประสาทมอเตอร์ (Motor nerve) ไปสู่อวัยวะมอเตอร์
(Motor organ) ซึ่งประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ
ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองของอวัยวะมอเตอร์ และจะออกมาในรูปใดขึ้นอยู่กับ
การบังคับบัญชาของระบบประสาท ส่วนสาเหตุที่มนุษย์เราสามารถไวต่อความรู้สึกก็เพราะ
เซลประสาทของประสาทรับสัมผัส แบ่งแยกแตกออกเป็นกิ่งก้านแผ่ไปติดต่อกับ
อวัยวะรับสัมผัส และที่อวัยวะรับสัมผัสมีเซลรับสัมผัส ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวจึง
สามารถทำให้มนุษย์รับสัมผัสได้
จิตใจติดต่อกับโลกภายนอกได้โดยการสัมผัส
คนตาบอดแม้อธิบายให้ฟังว่าสีแดง สีเขียวเป็นอย่างไร
เขาก็จะเข้าใจให้ถูกต้องไม่ได้เลย เพราะเรื่องสีจะต้องรู้ด้วยตา
เครื่องมือสัมผัสอย่างหนึ่งก็ทำหน้าที่อย่างหนึ่ง
คนหูหนวกย่อมไม่รู้สึกถึงลีลาความไพเราะของเสียงเพลง ดังนั้นการสอนจึงเน้นว่า
"ให้สอนโดยทางสัมผัส" การรับรู้นับว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้
การรับรู้ที่ถูกต้องจึงจะส่งผล ให้ได้รับ ความรู้ที่ถูกต้อง
นักเรียนต้องได้การรับรู้ที่ถูกต้อง มิฉะนั้นความรู้ที่รับไปก็ผิดหมด อวัยวะสัมผัส
กับการรับรู้
มนุษย์ย่อมมีพฤติกรรม
สนองตอบสิ่งแวดล้อมกระบวนการของการรับรู้เป็นสิ่งแรกที่มนุษย์สนองตอบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบประสาท
อวัยวะสัมผัส
เป็นปัจจัยสำคัญของกระบวนการรับรู้ต้องมีความสมบูรณ์จึงจะสามารถรับรู้สิ่งเร้าได้ดีเพราะอวัยวะสัมผัสรับสิ่งเร้า
ที่มากระทบประสาทรับสัมผัสส่งกระแสประสาทไปยังสมองเพื่อให้สมองแปลความหมายออกมา
เกิดเป็นการรับรู้ และอวัยวะสัมผัสของมนุษย์ มีขีดความสามารถจำกัด กลิ่นอ่อนเกินไป
เสียงเบาเกินไป แสงน้อยเกินไปย่อมจะรับสัมผัสไม่ได้ ดังนั้นประเภท ขนาด
คุณภาพของสิ่งเร้าจึงมีผลต่อการรับรู้และการตอบสนอง
สิ่งเร้าบางประเภทไม่สามารถกระตุ้นอวัยวะสัมผัสของเราได้ เช่น คลื่นวิทยุ
องค์ประกอบของการรับรู้
1.สิ่งเร้าได้แก่วัตถุ แสง เสียง
กลิ่น รสต่างๆ
2.อวัยวะรับสัมผัส ได้แก่ หู ตา จมูก
ลิ้น ผิวหนัง ถ้าไม่สมบูรณ์จะทำให้สูญเสียการรับรู้ได้
3.ประสาทในการรับสัมผัสเป็นตัวกลางส่งกระแสประสาทจากอวัยวะรับสัมผัสไปยังสมองส่วนกลาง
เพื่อการแปลความต่อไป
4.ประสบการณ์เดิม การรู้จัก การจำได้
ทำให้การรับรู้ได้ดีขึ้น
5.ค่านิยม ทัศนคติ
6.ความใส่ใจ ความตั้งใจ
7.สภาพจิตใจ อารมณ์ เช่น การคาดหวัง
ความดีใจ เสียใจ
8.ความสามารถทางสติปัญญา
ทำให้รับรู้ได้เร็ว
การจัดระบบการรับรู้
มนุษย์เมื่อพบสิ่งเร้าไม่ได้รับรู้ตามที่สิ่งเร้าปรากฏแต่จะนำมาจัดระบบตามหลักดังนี้
1.หลักแห่งความคล้ายคลึง ( Principle of
similarity) สิ่งเร้าใดที่มีความคล้ายกันจะรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน
2.หลักแห่งความใกล้ชิด (Principle of
proximity ) สิ่งเร้าที่มีความใกล้กันจะรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน
3.หลักแห่งความสมบูรณ์ (Principle of
closure) เป็นการรับรู้สิ่งที่ไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ขึ้น
ความคงที่ของการรับรู้ ( Perceptual
constancy ) ความคงที่ในการรับรู้มี 3 ประการ ได้แก่
1.การคงที่ของขนาด
2.การคงที่ของรูปแบบ รูปทรง
3.การคงที่ของสีและแสงสว่าง
การรับรู้ที่ผิดพลาด
แม้ว่ามนุษย์มีอวัยวะรับสัมผัสถึง 5 ประเภทแต่มนุษย์ก็ยังรับรู้ผิดพลาดได้ เช่น
ภาพลวงตา การรับฟังความบอกเล่า ทำให้เรื่องบิดเบือนไป
การมีประสบการณ์และค่านิยมที่แตกต่างกัน ดังนั้นการรับรู้ถ้าจะให้ถูกต้อง
จะต้องรับรู้โดยผ่าน ประสาทสัมผัสหลายทาง ผ่านกระบวนการคิดไตร่ตรองให้มากขึ้น
เชาวน์ปัญญา (Intelligence)
คนที่เคยเห็นชาวเขาปักผ้าเป็นลวดลายอย่างที่เรียกกันว่า
ครอสติช (crosstich)
ก็จะรู้สึกทึ่งในความสามารถของพวกเขา เพราะชาวเขาเวลาปักผ้าจะปักจากทางด้านหลังของผ้า
ที่ไม่มีการวาดลวดลายเตรียมไว้ก่อน แต่จะต้องคิดหรือจำลวดลายนั้น ออกมาเอง
มองดูไม่ออกว่าน่าจะเป็นลวดลายอะไร เห็นเป็นแต่เพียงงานปักลายเลอะ ๆ
แต่ถ้าพลิกกลับเอาด้านตรงข้าม
ที่เป็นด้านหลังมาดูก็จะเห็นเป็นลายปักที่มีลวดลายสลับสีสันงดงาม
จะว่าไปแล้วงานปักผ้าของชาวเขาที่มีความคิด ในด้านการออกแบบลวดลาย (design)
ลงบนผืนผ้า มีลักษณะที่เรียกว่า geometric folk art เป็นงานศิลปะที่ทรงคุณค่า ได้อย่างหนึ่ง
ถ้าจะดูความสามารถจากการปักผ้าของชาวเขาเพียงอย่างเดียวอาจกล่าวได้ว่า
ชาวเขาเป็นผู้มีเชาวน์ปัญญาสูง
จึงสามารถสร้างงานปักผ้าออกมาได้ในลักษณะของงานศิลปะที่มีคุณค่าได้อย่างมีคุณภาพเช่นนี้
แต่ถ้าเอาชาวเขามาวัด IQ. โดยให้ทำการทดสอบจากแบบทดสอบที่ใช้วัด IQ. คนธรรมดาทั่วไป
ผลการทดสอบอาจ แสดงค่าของ IQ. ที่ไม่สูงอย่างที่คิดไว้
เพราะชาวเขาอาจตอบคำถามธรรมดา ๆ ของคนเมืองไม่ได้ หรือชาวเขาอาจมีแนวคิด
ที่แตกต่างไปจากที่คนเมือง หรือคนในที่ราบคิด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ค่า ของ IQ.
ที่แสดงออกมาก็อาจจะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้งที่ความจริงแล้วชาวเขาไม่ได้มีเชาวน์ปัญญาต่ำดังเช่นตัวเลข IQ.ที่แสดงค่าออกมาหรือจะว่าไปแล้วชาวเขาไม่น่าที่จะมีIQ.ต่ำกว่าคนเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น