บทที่ 4
การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล
(Universal Design for Instruction)
U : การออกแบบการเรียนการสอนทเป็นสากล
(Universal Design for Instruction UDD 1)เป็นการออกแบบการสอนทีผู้สอนมีบทบาทเป็นเคาเนินการเชิงรุก
(proactive การกระทาโดยไมด้องมีสงใดมากระตุ้น) เกี่ยวกับ
การผลิตและหรือจัดหาจัดทำหรือชี้แนะผลิตภัณฑ์การศึกษา(educational products
(computers,websites, software, textbooks, and lab equipment) และ
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (dormitories, classroomstudentunionbuildings,
libraries, and distance learning courses), ที่จะระบุถึงในทุกขั้นตอนของการเรียนการสอน
การออกแบบการเรียนการสอนนาความรู้จากหลายสาขาวิชามาประยุกต์เข้าด้วยกันเป็นข้นตอนกระบวนการเชิงระบบเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
โดยพื้นฐานแล้ววิธีการเชิงระบบกำหนดให้ต้องระบุว่าจะเรียน อะไร
วางแผนการสอนว่าจะยอมให้การเรียนรู้อะไรเกิดขึ้นวัดผลการเรียนรู้เพื่อตัดสินว่า
การเรียนรู้นั้นบรรลุตามจดประสงค์หรือไม่และกลั่นกรองตัวสอดแทรก (intervention)
จนกระทั่งบรรลุจุดประสงค์ จากลักษณะนี้เองจึงทำให้เกิดแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนทั่วไป
(generic Instruction Design modelID model) ขึ้น (Gibbons
1981 : 5, Hannum and Hansen, 1989)
เกี่ยวกับระบบการเรียนการสอนนี้
แฮนนัมและบริกส์ (Hannum and Briggs) ได้เปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม
และการเรียนการสอนเชิงระบบ ดงรายละเอียดในตารางที่ 11
ในการออกแบบการเรียนการสอน
กระบวนการมีความสำคัญพอๆ กับผลิตผล เพราะว่าความเชื่อมั่นในผลิตผล จะขึ้นอยู่กับกระบวนการในการที่จะมีความเชื่อมั่นในผลิตผล
ต้องดำเนินตามแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอน สําหรับในแต่ละขนตอนนั้น ลำดับขั้นตอนของแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอน
สำหรับในแต่ละขั้นตอนนั้น ลำดับขั้นของภาระงานจะต้องแสดงออกมา
และผลที่ได้รับที่มีความเฉพาะเป็นพิเศษก็จะเกิดขึ้นคงรายละเอียดในตารางที่ 11
บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอน
(designer's
role) สามารถเปลี่ยนแปลงได้นำเสนอว่าต้องอาศัยเทคนิค
หรือไม่ต้องอาศัยเทคนิค และขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของทีมการออกแบบเนอหาที่ต้องใช้เทคนิคสูง
ผู้ออกแบบจำเป็นต้องให้ค่าแนะน้าในการออกแบบกับผู้ชำนาญการด้านเนอหาt
expert) ถ้าเนื้อหานั้นไม่ต้องใช้เทคนิคทีสูงมากจนเกินไป
ผู้ออกแบบก็สามารถจัดทำได้อย่างอิสระมากขึ้นด้วยความช่วยเหลือของผู้ชำนาญ การด้านเนื้อหา
ผู้ออกแบบสามารถที่จะทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาจากภายนอก และรบผิดชอบภาระงานทั้งหมด
เหมือนกับเป็นคนในสำนกงาน (in-house employers) ซึ่งได้รับ
ความช่วยเหลือจากผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา
บทบาทของผู้ออกแบบสามารถมีได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา
บทบาทของของผู้ออกแบบสามารถมีได้หลากหลาย
ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาวิชา ดังตัวอย่างทั้งสาม (Seels and
Glasgow ,1990:7-9 )
1.ผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาและมีสมรรถภาพในการออกแบบการเรียนการสอนและเทคโนโลยีและเป็นผู้ที่รู้บทบาทของการออกแบบด้วย
ไม่จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือด้านความรู้ ความชำนาญทางเนื้อหาวิชา
2. ผู้ออกแบบการเรียนการสอน
ที่ได้รับการร้องขอให้ทำงานในด้านเนื้อหาที่อาจจะมี ความคุ้นเคย
แต่ผู้ออกแบบยังคงรู้สึกมีความจำเป็นทีจะทำงานกับผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา
3 ผู้ออกแบบอาจจะได้รับการร้องขอให้พัฒนาหรือวิจัยในด้านเนื้อหาที่ไม่มีความคุ้นเคย
และ ดังนั้นจึงข้าเป็นด้องเลือกและเร้างานกับผู้เชียวชาญด้านเนื้อหาจำนวนมาก
ตารางที่
1
1 เปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมกับการเรียนการสอนเชิงระบบ
องค์ประกอบของการเรียนการสอน
|
การเรียนการสอนแบบดั้งเดิม
|
การเรียนการสอนเชิงระบบ
|
·
กำหนดเป้าประสงค์
(Setting goals)
|
ตำราหลักสูตรดังเดิมการอ้างอิงภายใน
|
*การประเมินความต้องการจำเป็น
"การวิเคราะห์งาน
"การอ้างอิงภายนอก
|
2
จุดประสงค์(Objectives)
|
"กล่าวในรูปของผลที่ได้รับ
รวมๆ
หรือการปฏิบัติของครูเการวิเคราะห์/การประเมินงาน
*เหมือนกันสำหรับนักเรียน
ทุกคน
|
*จากการประเมินความต้องการจำเป็นการวิเคราะห์ /การประเมินงาน
*เลือกด้วยการพิจารณาจาก
*ความสามารถของผู้เรียนเมื่อแรกเข้าเรียน
|
3.จุดประสงค์ในความรู้ -
เฉพาะของผู้เรียน
(Student's
knowledge of objectives)
|
*ไม่ได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้าต้องใช้สัญญาณจากการฟังคำบรรยายและการอ่านตำรา
|
*บอกกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษล่วงหน้าก่อนเรียน
|
4.ความสามารถก่อนเข้าเรียน (Entering capability)
|
*ไม่ต้องใส่ใจ นักเรียนทุกคนมีจุดประสงค์และวัสดุอุปกรณ์ /
กิจกรรมเหมือนกันหมด
|
*การพิจารณา
*การกำหนดวัสดุอุปกรณ์ / กิจกรรมแตกต่างกัน
|
5. ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวัง
(Expected
achievement)
|
*ใช้โค้งมาตรฐาน
|
*มีความเป็นแบบอย่างเดียวกันสูง
|
6. ความรอบรู้(Mastery )
|
*นักเรียนส่วนน้อยรอบรู้จุดประสงค์ทั้งหมด
*รูปแบบผิดพลาด
|
*นักหกเรียนส่วนใหญ่รอบรู้จุดประสงค์ทั้งหมด
|
7.ค่าระดับและการเลื่อนระดับ (Grading and promotion )
|
*อยู่บนพื้นฐานการเปรียบเทียบกับนักเรียนคนอื่นๆ
|
*อยู่บนพื้นฐานการรอบรู้จุดประสงค์
|
8.การสอนเสริม
(Remediation )
|
*บ่อยครั้งที่ไม่มีการวางแผน
*ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจุดประสงค์หรือวิธีการเรียนการสอน
|
*วางแผลสำหรับนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือแสวงหาจุดประสงค์อื่นๆ
เลือกวิธีการเรียนการสอน
|
9.การใช้แบบทดสอบ
|
*กำหนดค่าระดับ
|
*เฝ้าระวังติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน
*ตัดสินความรอบรู้
*วินิจฉัยความยากลำบาก
*ปรับปรุงการเรียนการสอน
|
10.เวลาศึกษากับความรอบรู้
(Stidy time va mastery )
|
*เวลาคงที่: ระดับของความรอบรู้หลากหลาย แตกต่างกัน
|
*ความรอบรู้คงที่ : เวลาหลากหลายแตกต่างกัน
|
11 การตีความของความล้มเหลวที่จะไปให้ถึงความรู้
(Interpretation of failute to
reach mastery )
|
*นักเรียนผู้ส่งสาร
|
*มีความต้องการจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงการเรียนการสอน
|
12.การพัฒนารายวิชา
(Course ot development)
|
*เลือกวัสดุอุปกรณ์ก่อน
|
*ระบุจุดประสงค์ก่อนแล้วจึงจะเลือกวัสดุอุปกรณ์
|
13.ลำดับขั้นตอน
(Sequence )
|
*อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและสังเขปหัวเรื่อง
|
*อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตามความจำเป็น
และหลักการของการเรียนรู้
|
14.การปรับปรุงการเรียนการสอนและ วัสดุอุปกรณ์ (Revision of instructional and
materials )
|
*อยู่บนพื้นฐานของการคาดเดางาน หรือความเพียงพอ
*วัสดุอุปกรณ์ใหม่
*เกิดข้นเป็นพักๆ
|
*อยู่บนพื้นฐานของการประเมินข้อมูล
*เกิดขึ้นเป็นประจำ
|
15.กลยุทธ์การเรียนการสอน
(Instructional Strategies)
|
*พอใจให้ผ่านได้อย่างกว้างๆ
*อยู่บนพื้นฐานของความชอบและความคล้ายคลึง
|
*เลือกที่จะให้ได้รับตามจุดประสงค์
*ใช้ยุทธวิธีที่หลาย
*อยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีและ การวิจัย
|
16.การประเมินผล (Evaluation )
|
*บ่อยครั้งที่ไม่เกิดขึ้น :
การวางแผนเชิงระบบมีน้อย
*ประเมินแบบอิงกลุ่ม ข้อมูลได้จากปัจจัยนำเข้า และ กระบวนการ
|
*การวางแผนเป็นระบบ :เกิดขึ้นประจำ
*ประเมินความรอบรู้ตามจุดประสงค์
*ประเมินผลอิงเกณฑ์ข้อมูลได้จากผลที่ได้รับ ( ผลผลิต )
|
ที่มา : W.H.Hannum and leslir j.Briggs,”How does lnstructional
Systems Design Differ from Traditional
Instruction ,”Edouational Technology 22:12-13.1982
ตารางที่ 12 งานและผลผลิตของกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน
ขั้นตอนภาระงาน
|
ตัวอย่างภาระงาน
|
ตัวอย่างผลผลิต
|
การวิเคราะห์-กระบวนการของ
การนิยมว่าต้องเรียนอะไร
|
-ประเมินความต้องการจำเป็น
-ระบุปัญหา
-วิเคราะห์ภาระงาน
|
-แฟ้มผู้เรียน
-การพรรณนาข้อจำกัด
-คำกล่าวของความต้องการจำเป็นและปัญหา
-การวิเคราะห์
|
การออกแบบ-กระบวนการของ
การชี้เฉพาะว่าจะเรียนอย่างไร
|
-เขียนจุดประสงค์
-พัฒนารายการของแบบทดสอบ
-วางแผนการเรียนการสอน
-ระบุแหล่งทรัพยากร
|
-จุดประสงค์ที่วัดได้
กลยุทธ์การเรียนการสอน
-ลักษณะเฉพาะของตัวแบบ
Prototype
specification
|
การพัฒนา
-กระบวนการของ
|
-ทำงานกับผู้ผลิต
|
-สตอรี่บอร์ด story board
|
หน้าที่และผลิตวัสดุอุปกรณ์
|
-พัฒนาคู่มือ แผน ถูมิโปรแกรม
|
-สคริป
-แบบฝึกหัด
-คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน
|
การนำไปใช้
–กระบวนการของการก่อตั้งโครงการในบริษัทแห่งโลกความจริง
|
-การฝึกอบรมครู
-การทดลอง
|
-การให้ความเห็นของนักเรียนข้อมูล
|
การประเมินผล-กระบวนการของการตกลงใจเกี่ยวกับความเห็นผลของการเรียนการสอน
|
-บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเวลา
-ผลการแปลความแบบทดสอบ
-สำรวจผู้สำเร็จการศึกษา
-ทบทวนกิจกรรม
|
-คำรับรอง (recommendation)
-รายงานโครงงาน
-ทบทวนตัวแบบ
|
ที่มา : Barbara Seels,and Zita Glasgow ,Exercises in instructional
Design (Columbus, Ohio :Merrill Publoshing Company, 1990 ), p.8.
นับว่าเป็นเรื่องสำคัญด้วยเหมือนกัน
ที่จะให้ความแตกต่างระหว่างบทบาทของผู้วิจัย และผู้ปฏิบัติเพราะว่าข้อกำหนดในความสำเร็จของทั้งสองสานนมความแตกต่างกัน
ผู้ที่เป็นนักวิจัยสนใจในแต่ละขั้น ตอนของรูปแบบทั่วไป ดังนั้น
ความสนใจและเป้าประสงค์ของผู้ปฏิบัติ (ID practitioner) จึงแตกต่างออกไปความสนใจและเป้าประสงค์ที่แตกต่างกัน
ดังแสดงไว้ในตารางที่ 3
ผู้ออกแบบที่เป็นนักปฏิบัติ
สามารถแสดงออกในแต่ละขันตอนจากการวิเคราะห์ไปจนถึงการทดลอง
ขึ้นอยู่กับว่าจะพรรณนางานว่าอย่างไร ถ้างานของผู้ออกแบบระบุไว้อย่างแคบๆ
แล้วผู้ออกแบบแสดงเพียงสองถึงสามขั้นตอนเท่านั้น โดยละทิ้งขั้นตอนที่เป็นผลิตผล
การนำไปใช้ และการประเมินผล
นักวิจัยการออกแบบการเรียนการสอน
(ID
remember) หรือผู้เชียวชาญ (specialist) สนใจศึกษาค้าแปรและพัฒนาทฤษฎีทีสัมพันธ์กับการเรียนการสอน
นักปฏิบัติการออกแบบการเรียนสอน (ID practitioneror generation) สนใจการประยุกต์งานวิจัย และทฤษฎีการพัฒนาการเรียนการสอนและวัสดุอุปกรณ์
บทบาทอื่นๆ ของผู้วิจัยการออกแบบการเรียนการสอนดงแสดงไว้ในตารางที่ 3
ส่วนบทบาทของผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนดังแสดงในตารางที่
13สาขาวิชาการออกแบบการเรียนการสอน มีอายุประมาณ 30 ปี
เป็นบทบาทของนักวิจัยที่จะส่งเสริมความงอกงามในทฤษฎีของการออกแบบการเรียนการสอน
และเนื่องจากว่าการออกแบบการเรียนการสอนเป็นสาขาวิชาประยุกต์
บทบาทของนกวิจัยจึงอาจดูเหมือนว่าแยกตัวออกไปตามลำพังและมีความสำคัญน้อย
สิ่งดังกล่าวนี้ไม่เป็นความจริงเพราะถ้าปราศจากิกิระบวนการทางทฤษฏีแล้ว
สาขาวิชาก็จะเฉื่อยชาอยู่กับที่ความมุ่งหมายของนักออกแบบการเรียนการสอน คือ ความจำเป็นที่จะต้อง
วาตน สามารถที่จะก้าวไกลได้ ในหนทางแห่งอาชีพของตนเอง
ถ้ารับรู้วิธีการวิจัยที่เหมาะสมในแต่ละขั้นตอน (Seels and
Glasgow, 19990:10)
งานของผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนอาจจะหลากหลายในความต้องการด้านความรู้ความชำนาญ
ผลิตผลที่ได้และสถานการณของงาน
ผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนอาจจะวิเคราะห์ภาระงานภายใต้การนิเทศของผู้จัดการโครงการในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและการพัฒนา จัดการโครงการ อาจจะน้ำทีมซึ่งพัฒนาการประชุมเชิงปฏิบัติ
การสามวัน สำหรับการอุตสาหกรรม (three-day workshop)
การออกแบบไม่การทาภาระการออกแบบการเรียนการสอน
ตารางที่13 เปรียบเทียบความสนใจและเป้าประสงค์ของผู้วิจัยและผู้ปฏิบัติ
แบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนทั่วไป
|
บทบาทของผู้วิจัย
|
บทบาทผู้ปฏิบัติ
|
ขั้นที่1 การวิเคราะห์
ขั้นที
2 การออกแบบ
ขั้นที่
3 การพัฒนา
ขั้นที
4 การนำไปใช้
ขั้นที่
5 ประเมินผล
|
*ศึกษาวิธีการระบุปัญหา
*ศึกษาผลของคุณลักษณะของ
ผู้เรียน
*ศึกษาเนื้อหา
*ศึกษาตัวแปรในการออกแบบ
ข่าวสาร
*พัฒนากลวิธีการเรียนการสอน
*ศึกษากระบวนการของทีม
*ศึกษาชาติวงศ์วรรณาของตัวแปร
ในสิ่งแวดล้อม
*การระบุตัวแปรของการนาไปใช้
ให้ได้ผล
*ศึกษาข้อถกเถียงที่นำ
ไปสูการ
ประเมินผล
|
*ประยุกต์ใช้วิธีการระบุปัญหา
*กำหนดคุณลักษณะของผู้เรียน
*ใช้การวิจัยในเนื้อหาตาม
สาขาวิชา
*ให้ผู้ปฏิบัติเป็นผู้ออกแบบการ
เรียนการสอน
*ทำงานกับผู้ผลิตในการพัฒนาสคริป
*ออกแบบและจัดการ สิ่งแวดล้อมและตัวแปรในการเรียนการสอน
"ประยุกต์ทฤษฎีการประเมินผล
|
ที่มา
: Barbara
Seels,and Zita Glasgow,Exercises in
instrucnal (Columbus,Ohio : Merrill
Publoshing
Company, 1990), p.8.
การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพตามที่มาร์ซาโน
(Marzano:
2012) ได้นำเสนอกลวิธีการจัดการเรียนการสอนสรุปได้ 3 ส่วน คือ 1) การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (Creating
the Environme for Learning)
ซึ่งกลวิธีในส่วนที่ 1 นี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญให้กับการเรียนรู้ในทุกบทเรียน
เมื่อครูสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้
ย่อมจูงใจและทำให้ผู้เรียนเกิดความคาดหวังและเรียนรู้อย่างมีความหมาย
โดยการดูแลให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
เพื่อการพัฒนาเปิดโอกาสในผู้เรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้
พัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนการเรียนรู้ติดตามและพัฒนาความรู้ของตนเอง
2) การช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจให้กับผู้เรียน (Helping
students Develop Understanding) กลวิธีในส่วนที่ 2 นี้เป็นการช่วยผู้เรียนให้การพัฒนาความรู้ความเข้าใจ
จัดลำดับองค์ความรู้และเชื่อมโยงความรู้เก่ากับองค์ความรู้ใหม่ จัดการกับความรู้
ตรวจสอบความรู้ สร้างมโนทัศน์ (Concept)
ที่ถูกต้องซึ่งกระบวนการบูรณาการและเรียนกระบวนการในแต่ละประเภทของความรู้จะเกี่ยวข้องกับ
(1) การสร้างขั้นตอนที่จำเป็นในแต่ละกระบวนการหรือทักษะ (2) พัฒนามโนทัศน์และความเข้าใจในกระบวนการและการปฏิบัติอย่างหลากหลาย (3) ปฏิบัติตามทักษะที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นประจำ และ 3)
ช่วยผู้เรียนในการขยายและการประยุกต์ใช้ความรู้
คือเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้มากกว่าคำตอบที่ถูกต้อง (right answer) โดยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ ขยายองค์ความรู้
โดยนำความรู้กลับไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง โดยใช้กระบวนการของเหตุและผล
และถึงเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
จากกลวิธีการสอนดังกล่าวเมื่อพิจารณาตามหลักการ
Universal
Design (UD)
จะเกี่ยวข้องกับการออกแบบผลิตภัณฑ์และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่คนในทุกช่วงอายุและความสร้างที่แตกต่างกันสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
(Story, Mueller, & Mace, 1998) เมื่อนำ Universal
Design (UD) มาให้ทางการศึกษาจึงเป็นการออกแบบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนทุกคน
ได้แก่ การสอนที่ใช้สื่อ และวิธีการแบบต่าง ๆ เช่น การบรรยาย การร่วมกันอภิปราย
การทำงานกลุ่ม การสอนโดยใช้อินทอร์เน็ต ในห้องปฏิบัติการ การออกฝึกภาคสนาม เป็นต้น
รวมทั้งการออกแบบหลักสูตรที่สนองต่อผู้เรียนหลายระดับความสามารถในห้องเรียน (
สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา,2555: 4-6 Universal Design (UD) ถูกนำมาใช้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการศึกษา อาทิ คอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ ซอฟต์แวร์
หนังสือคู่มือ และเครื่องมือที่ใช้ในห้องทดลอง ฯลฯ
และนำมาปรับใช้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อาทิ หอพัก ห้องเรียน อาคารศูนย์ประชุม
ห้องสมุด และคอร์สรายวิชาเรียนทางไกล เป็นต้น
ความสำคัญของการออกแบบการเรียนรู้การสอนที่เป็นสากล
การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล Universal
Design for (UDI) คือ
แนวทางการสอนที่ประกอบด้วยการออกแบบเชิงรุก และใช้กลวิธีการเรียนรู้การสอบแบบรวม (inclusive
instructional strategies) ซึ่งเป็นประโยชน์ของผู้เรียนในวงกว้าง
ครูมีบทบาทเป็นผู้ดำเนินการเชิงรุก (proactive)
มีความรับผิดชอบ (responsive) และเป็นผู้สนับสนุน (supportive) การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล Universal Design for Instruction : (UDI) ให้ความสำคัญกับหลักสูตรรายวิชาต่าง ๆ เทคโนโลยี และบริการต่าง ๆ
โดยทั่วไปที่จัดให้ผู้เรียนถูกออกแบบมาให้กับผู้เรียนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ย,
แต่ในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลจะต้องขยายขอบเขตสำหรับผู้เรียนที่มีหลากหลายลักษณะ
คำนึงถึงผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ในการออกแบบดังกล่าวมุ่งทีผลิตภัณฑ์ในการศึกษาและการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อให้ได้ผลได้มากเท่าที่จะทำได้
“(Story, Mueller, and Mace, 1998)
การออกแบบสากลในการศึกษา
Universal Design (UD) เป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับคนทุกคนโดยม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นสำหรับใครคนใดคนหนึ่ง
ดังนั้นการนำหลักการ Universal Design (UD) มาใช้ในการศึกษา จึงสามารถลดอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้
และสร้างความยืดหยุ่นในการจัดการศึกษา เพื่อให้
ผู้ที่มีความแตกต่างกันสามารถเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมกันให้ได้มากที่สุด Strangeman,
Hitchcock, Hall, Meo, & et. Al : 2006 จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นคาราลาโด
ได้นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ในการจัดการเรียนการสอนใน 2 ลักษณะ
คือ Universal Design for Instruction
: (UDI) และ Universal Design for Learning : (UDL) โดยที่ UDI เป็นการออกแบบการสอน
รวมไปถึงวิธีการสอน การจัดเนื้อหา การประเมินผล และหลักสูตร ส่วน UDL เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบสภาพการเรียนรู้หรือสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน
การออกแบบสากลในการศึกษา (Universal
Design in Education) ถูกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาต่าง
ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ ซอฟต์แวร์
ตำราและอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการ รวมถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น ห้องรับแขก
ห้องเรียน อาคารสหภาพนักศึกษาห้องสมุด และหลักสูตรการเรียนทางไกล
แตกต่างจากที่พักสำหรับบุคคลที่เฉพาะเจาะจงที่มีความสามารถในการเลือกปฏิบัติ UDE
ให้ประโยชน์แก่นักเรียนทุกคนรวมถึง
ผู้ที่ไม่ได้รับที่พักเกี่ยวข้องกับคนพิการจากโรงเรียน
ส่วนต่อไปนี้แสดงตัวอย่างการใช้งานทั่วไปในการตั้งค่าทางการศึกษา: ช่องว่างทางกายภาพเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)
การสอนและบริการของนักเรียนแตกต่างจากที่พักสำหรับบุคคลทีเฉพาะเจาะจงที่มีความสามารถในการเลือกปฏิบัติ
UDE ให้ประโยชน์แก่นักเรียนทุกคนรวมถึงผู้ที่ไม่ได้รับที่พักที่เกี่ยวข้องกับคนพิการจากโรงเรียน
ส่วนต่อไปนี้แสดงตัวอย่างของการใช้งานทั่วไปในการตั้งค่าทางการศึกษา: พื้นที่ทางกายภาพเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)
การสอนและบริการของนักเรียน
การออกแบบที่เป็นสากลในการเรียนการสอน
(Universal
Design for Instruction : (UDI)
การนำแนวคิด UD มาใช้โดยเป็นการประยุกต์เพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียน
ความต้องการหลากหลาย โดยมีหลักการว่า UD นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจว่า
ผู้เรียนแต่ละลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน และมีความต้องการที่แตกต่างกันด้วน
ซึ่งการนำ UD ไปใช้ในการศึกษาสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนในแต่ละคน
และส่งเสริมผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้เต็มที่ตามศักยภาพ (Eagleton,
2008)
Scott, Shaw and McGuire (2001) ได้เสนอหลักการในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลไว้ 9 ประการ ในการออกแบบการสอนที่เป็นสากล (Universal Design for Instruction หรือ UDI)
ได้รับการพัฒนาจากการศึกษาค้นคว้างานเขียนและงานวิจัยเกี่ยวกับหลักการในการออกแบบที่เป็นสากล
Universal Design หรือ UD) และการเรียนการสอนที่มีประสิทธิผลเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ครูผู้สอนใช้ในการครุ่คิดไตร่ตรอง
โดยนำไปใช้ได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหลักสูตรใหม่ ๆ
หรือใช้เพื่อพิจารณาสิ่งที่ทำอยู่แล้ว ณ ปัจจุบันก็ได้
แล้วแต่ความจำเป็นของผู้สอนแต่ละท่าน หลักการทั้ง 9 ประการนี้จะแสดงให้เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับการสอน
หรือเป็นแนวทางในการสอน ไม่ว่าจะเป็นการประเมินการเรียนรู้ของนักเรียน
หรือการขยายประสบการณ์การเรียนรู้
หรือการพิจารณาว่าจะสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เหมาะสมกับทุกคนได้อย่างไร
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้สอนจะใช้หลักการทุกข้อกับการเรียนการสอนทุกด้านพร้อมกันได้
แต่เมื่อดูชั้นเรียนโดยองค์รวม จะพบว่าหลักการแต่ละข้อจะเข้ามามีบทบาท หลักการทั้งหมด
ประโยชน์สำหรับผู้สอนทุกท่าน ไม่เว้นแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ช่ำชองจากวิชาสาขาต่าง ๆ
และมีประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้สอนมือใหม่หรือครูผู้ช่วยสอนที่ต้องการคำแนะนำและแนวทางในการสอน
Scott, Shaw and McGuire (2003
: 369 – 379) ได้นำเสนอหลักการในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลไว้
9 ประการ ดังนี้
1.
ความเสมอภาคในการใช้งาน (EQUITABLE
USE)
เป็นการออกแบบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สำหรับคนทุกคน
ข้อมูลและอุปกรณ์ต้องทำงานได้อย่างราบรื่นโดยกลุ่มนักเรียนที่เยอะขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้น
หมายถึงการใช้อุปกรณ์ในการเรียนการสอนที่เหมือนกัน
2.
ความยืดหยุ่นในการใช้งาน (FLEXIBILTY
IN USE)
เป็นการออกแบบที่ทำให้ผู้เรียนแต่ละคนที่มีความหลากหลายได้ใช้ได้เช่นเดียวกัน
ต้องมีตัวเลือกหากผู้เรียนต้องการฟังเนื้อหาต้องทำได้
หรือจะพิมพ์ออกมาเป็นเอกสารที่จับต้องได้ก็ต้องทำได้
และยังต้องปรับขนาดและความคมชัดของตัวอักษรได้เพื่อประโยชน์ต่อผู้เรียนที่มีปัญหาด้านสายตา
ผู้สอนควรจัดเตรียมวิธีการสอนที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับสาระความรู้เดียวกันในหลายรูปแบบ
3.
ง่ายยและเป็นธรรมชาติ (SIMPLE
AND INTUITIVE)
เป็นการออกแบบที่ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นใช้งานง่าย
สิ่งสำคัญในการเรียนรู้คือความเข้าใจเนื้อหาที่เรียน ไม่ใช่วิธีในการทำความเข้าใจ
(วิธีไม่สำคัญ สำคัญคือเข้าใจ) เมื่อผู้สอนจะนำหลักการนี้ไปใช้จึงต้องใช้ตารางคะแนนช่วย
(ในตารางจะเขียนว่าต้องเข้าใจอะไรอย่างไร
4.
สารสนเทศที่ช่วยให้รับรู้ได้ (PERCEPTIBLE
INFORMATION)
เป็นการออกแบบที่ทำให้ผู้เรียนแต่ละคนเข้าถึงข้อมูลได้เหมือนกัน
ข้อมูลสารสนเทศความรู้จะถูกนำเสนอแก่ผู้เรียนในลักษณะที่สามารถเข้าถึงได้
5.
การยอมรับว่าจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น (TOLERANCE
FOR ERROR)
เป็นการออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เรียน
ผู้สอนต้องเข้าใจว่าผู้เรียนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
ผลก็คือประสิทธิภาพของการสอนก็ย่อมแปรผันไปเช่นเดียวกัน
6.
ความสามารถทางกายภาพที่ต่ำ (LOW
PHYSICAL EFFORT)
เป็นการออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้มีความเมื่อยล้าในการใช้น้อยที่สุด
เมื่อความพยายามทางกายภาพไม่ได้เป็นส่วนสำคัญของหลักสูตรรายวิชา
7.
ขนาดและพื้นที่สำหรับการประยุกต์ใช้และการใช้
(SIZE
AND SPACE FOR APPROACH AND USE)
เป็นการออกแบบเพื่อผู้ใช้ที่มีขนาดร่างกายที่แตกต่างกันใช้ได้อย่างสะดวก
พิจารณาความต้องการของผู้เรียนในพื้นที่ที่กำหนดไว้
8.
ชุมชนของผู้เรียน (A
COMMUNITY OF LEARNERS)
เป็นการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
สร้างสภาพแวดล้อม ที่รู้สึกปลอดภัยและสนับสนันการโต้ตอบระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง
9.
บรรยากาศในการสอน (INSTRUCTIONAL
CLIMATE)
เป็นการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
ที่สภาพแวดล้อมได้รับการออกแบบมาเพื่อผู้เรียนทุกคน
สื่อสารให้นักเรียนรับรู้ว่าผู้สอนมีตั้งความคาดหวังไว้สูงสำหรับผู้เรียนทุกคน
การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
(UDI
: Universal Design for Learning)
แนวคิด Universal
Design
เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
การออกแบบมุ่งที่การใช้งานให้คุ้มค่าครอบคลุมสำหรับผู้เรียนทุกคน
โดยคำนึงถึงโอกาสในการใช้งานอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นการนำแนวคิดการออกแบบการเรียนรู้สากล
มาใช้ในจึงสามารถช่วยลดอุปสรรคต่อการเรียนของผู้เรียนได้
แนวคิดการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
(Universal
Design for Learning : UDL)
เกี่ยวข้องกับการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ ในยุคการศึกษา 4.0 จึงมีการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสนองตอบต่อความต้องการของผู้เรียนที่มีความต้องการหลากหลายและแตกต่างกัน
ประกอบไปด้วยหลักการที่สำคัญ 3 ประการ
Strangrman,
Hitchcock, Hall, Me, & et al :2006) ได้แก่
1. การสนับสนันการเรียนรู้เพื่อจดจำ
โดยการจัดหาวิธีนำเสนอที่ยืดหยุ่นและหลากหลาบ
2. เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ยุทธศาสตร์
โดยจัดหาวิธีการอธิบายหรือการแสดง
3. เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล
โดยการจัดหาทางเลือกที่มีความยืดหยุ่นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ตามหลักสูตร
ความสำคัญของการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
UDL มีความสำคัญอย่างยิ่งในการออกแบบการเรียนการสอน ที่ประกอบไปด้วย จุดหมาย
วิธีการ วัสดุอุปกรณ์ และการประเมินผลการเรียนรู้
สำหรับผู้เรียนทุกคนวิธีการใดวิธีการหนึ่งพียงวิธีเดียวจะไม่เหมาะสมกับทุกการแก้ปัญหา
ความต้องการและความสนใจที่จะเรียนรู้
ทางด้านประสาทวิทยากล่าวไว้ว่าคล้ายกับระบบการทำงานของสมอง 3 ส่วน ดังนี้ 1) เครือข่ายการรับรู้ 2) เครือข่ายเชิงกลยุทธ์ การวางแผนและการปฏิบัติงาน
วิธีการที่เราจัดระเบียบและแสดงหลักฐานทางความคิดของเรา และ3)
เครือข่าย (Affective Networks)
จะมีวิธีการเรียนรู้อย่างไรที่จะกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจ
การออกแบบที่เป็นสากลเพื่อการเรียนรู้จึงเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ
ระดับในการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
จัดเป็น 3
ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 การนำเสนอ การจัดการเรียนรู้ตามหลักการการออกแบบที่เป็นสากลเพื่อการเรียนรู้
(UDL) ควรใช้รูปแบบนำเสนอที่หลากหลายวิธี ได้แก่
-
การใช้ข้อมูลที่หลากหลาย เช่น
ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง
-
การใช้ภาษาและสัญลักษณ์ที่หลากหลาย
-
การให้โอกาสผู้เรียนการทำความเข้าใจบทเรียนและทบทวนความรู้นั้น
ระดับที่ 2 การสื่อสาร
การให้ผู้เรียนได้แสดงออกในการเรียนรู้ ซึ่งมีหลากหลายวิธีการ ได้แก่
-
การใช้ภาษากาน
-
การพูด การสนทนาโต้ตอบ
-
การใช้การทำงานของสมองระดับสูง
ระดับที่ 3 การมีส่วนร่วม
เป็นการเสริมสร้างแรงจูงใจ ได้แก่
-
การพยายามชักจูงความสนใจ
โดยให้อิสระในการเลือก
-
สนับสนุนให้ใช้ความพยายามในการทำงาน
-
เสริมสร้างทักษะการกำกับตนเอง
แบบการเรียนรู้
(Learning
Styles)
คำว่า Learning
Styles ในภาษาไทยใช้คำว่า ลีลาการเรียนรู้
หรือแบบการเรียนรู้หรือวิธีการเรียนรู้ที่เป็นการปฏิบัติของผู้เรียนในการจัดการเกี่ยวกับการเรียน
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ซึ่งแตกต่างกันไปตามสติปัญญา
ลักษณะเฉพาะของผู้เรียน และสภาพแวดล้อมทางการเรียน
แบบการเรียนรู้ (Learning
Styles)
เป็นความคงที่ในการตอบสนองและการใช้สิ่งเร้าในบริบทของผู้เรียน
โดยผู้เรียนแต่ละคนมีแบบการเรียนรู้ของตนเอง
Anthony F . Grasha and Sheryl
Reichman (1980 cited in Nova Southeastern University,
2004: 31) จัดผู้เรียนตามแบบการเรียนรู้ได้ 6 แบบ
คือ
1.
แบบอิสระ (Independent
Style)
ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้เฉพาะตนเอง แสวงหาความรู้และประสบการณ์ด้วยตนเอง
จะเรียนรู้เนื้อหาวิชาเฉพาะที่ตนเห็นว่ามีความสำคัญ
2.
แบบหลีกเลี่ยง (Avoidance
Style)
ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
ผู้เรียนไม่สนใจเนื้อหาวิชาที่จัดให้ ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน
3.
แบบร่วมมือ (Collaboration
Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ชอบที่จะทำงานร่วมกันกับผู้อื่น
เรียนรู้ได้ดีด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
4.
แบบพึ่งพา (Dependent
Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการคำบอกเล่าว่าต้องทำอะไร
อย่างไรและเมื่อไร ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการับคำสั่ง หรืองานที่มอบหมาย
5.
แบบแข่งขัน (Competitive
Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่จะพยายามทำให้ดีกว่าคนอื่น
ผู้เรียนค้นหาความรู้โดยใช้หลักในการเรียนรู้ที่ผู้เรียนพยายามที่จะทำสิ่งต่าง ๆ
ใหได้ดีกว่าคนอื่น
6.
แบบมีส่วนร่วม (Participant
Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมมากที่สุดในกิจกรรมในชั้นเรียน
ผู้เรียนต้องการเรียนรู้เนื้อหาวิชาในห้องเรียนและชอบที่จะเข้าชั้นเรียน
แต่ไม่ต้องการที่จะร่วมกิจกรรมที่ไม่อยู่ในรายวิชาที่เรียน
David A. Kolb (1995 อ้างในคณะอนุกรรมการปฎิรูปการเรียนรู้
กระทรวงศึกษาธิการ, 2543) จัดกลุ่มผู้เรียนตามแบบการเรียนเป็น
4 กลุ่ม ดังนี้
1.
แบบนักปฏิบัติ (active caparinmentationer) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดี
เมื่อได้ลงมือปฏิบัติ เนรู้เกิดจากการกระทําควบคู่ไปกับการคิด
2.
แบบนักสังเกต reflective เรียนคอมนี้
จะเรียนรู้จากการเชื้อเอาสาปรากฏการณ์ “โดร า ง ๆ
แล้วนํามาจัดระบบระเบียบเป็นความรู้
3.
แบบนักคิดสร้างมโนทัศน์ (abstract ใน กรี
กาบกลุ่มนี้จะเรียนรู้อย่างคราะ และสังเคราะห์ การรับรู้ที่ได้เป็นองค์ความรู้
4.
แบบนักประมวลประสบการณ์ (concrete รายการ
เรือนกลุ่มนี้ จะเรียน โดยการ วิเคราะห์ และประเมินด้วยหลักเหตุผล McCarthy
(อ้างในศักดิ์ชัย นิรัญทวีและไพเราะ นุ่มมั่น, (2542 วัน 11)
ได้ขยายแนวคิดของการ สาม โดยเสนอแบบการเรียนรู้ 4 แบบ ดังนี้
แบบที่ 1 เป็นผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ (armaginative
learners) ผู้เรียนจะรับรู้ข้ามประสาทสัมผ่าน
กิจและประมวลกระบวนการเรียนรู้จากการสังเกต นําไปสะท้อนความคิดเชิงเหตุผล
ผู้เรียนกลุ่มนี้มักถามถึง
เหตุผลว่าทําไม
(why)
ผู้เรียนมักถามว่า ทําไมต้องเรียนสิ่งนั้นสิ่งนี้
จะต้องหาเหตุผลที่จะต้องเรียนรู้ก่อน สิ่งอื่น ๆ
แล้วจะเกี่ยวข้องกับตัวเขาหรือสิ่งที่เขาสนใจอย่างไร โดยเฉพาะเรื่อง ความเชื่อ
ค่านิยม ความรู้สึก ชอบขบคิดปัญหาต่างๆ ค้นหาเหตุผลและสร้างความหมายเฉพาะของตนเอง
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อ อภิปราย โต้วาที ใช้กิจกรรมกลุ่ม
การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ครูต้องให้เหตุผลก่อนเรียน หรือระหว่างเรียน
แบบที่ 2 เป็นผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์
(analytic learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านการประมวล ข้อมูล
โดยนําสิ่งที่รับรู้มาประมวลกับประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ใหม่ ๆ
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะถามเกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง คําถามที่สําคัญคือ อะไร (what)
ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเหมาะสม
เพื่อนําไปพัฒนาเป็นความคิดรวบยอด (concept) หรือจัดระบบระเบียบของความคิด
ผู้เรียนกลุ่มนี้มุ่งเน้น รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
จะยอมรับผู้รู้จริงหรือผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีอํานาจสั่งการเท่านั้น ผู้เรียน
กลุ่มนี้จะเรียนก็ต่อเมื่อรู้ว่า จะต้องเรียนอะไร อะไรที่เรียนได้
สามารถเรียนได้ดีจากการบรรยาย การ ทดลอง การทํารายงาน การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย
แบบที่ 3 เป็นผู้เรียนที่ถนัดใช้สามัญสํานึก
(common sense leสามละ) ผู้เรียนจะรับรู้โดยผ่าน
กระบวนการคิดจากสิ่งที่เป็นนามธรรม กระบวนการเรียนรู้ได้จากการทดลองหรือปฏิบัติจริง
มีการมองหา กลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนความรู้เพื่อนําไปใช้ คําถามที่สําคัญคือ
อย่างไร (how) ผู้เรียนกลุ่มนี้สนใจทดสอบ
"ทฤษฎีหรือปฏิบัติจริง
โดยวางแผนนําความรู้ในภาคทฤษฎีที่เป็นนามธรรมไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในความจริง
ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการเป็นผู้ปฏิบัติ
ใฝ่หาสิ่งที่มองเห็นว่าเป็นประโยชน์และตรวจสอบว่าข้อมูลที่
ได้มานั้นสามารถใช้ได้ในชีวิตจริงหรือไม่
สนใจที่จะนําความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริง อยากรู้จากท่าน อย่างไร
รูปแบบการเรียนการสอนที่ควรเป็นก็คือ การทดลอง การให้ปฏิบัติจริง ทำจริงหรือสถานการณ์
จําลองก็ได้
แบบที่ 4
เป็นผู้เรียนที่ถนัดการปรับเปลี่ยน ( dynamic learners)
ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านสเก็ รูปธรรมและผ่านการกระทํา คําถามที่สําคัญคือ
ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ (IF) ผู้เรียนจะเรียนรู้โดยลงมือ
ในสิ่งที่ตนเองสนใจ และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง ชอบรับฟังความคิดเห็นหรือคําแนะนํา
แล้วนําข้อมูล ประมวลเป็นความรู้ใหม่
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะมองเห็นความซับซ้อนของสิ่งที่เรียนรู้ สามารถสร้างผังความ
แสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ แล้วนําเสนอเป็นรูปแบบที่แปลกใหม่
การสอนผู้เรียนกลุ่มนี้ใช้วิธีการสอน แบบค้นพบด้วยตนเอง (self discovery
method)
แบบการเรียนรู้ (learning styles) เป็นเพียงการจัดกลุ่มที่มีลักษณะโดยรวมเท่านั้น
ไม่อาจจำแนก
ได้เฉพาะเจาะจงว่าผู้เรียนคนใดคนหนึ่งจะจัดอยู่ในกลุ่มของแบบการเรียนแบบใดแบบหนึ่ง
ดังที่การ์ดเนอร์ (howard gardiner) ที่ได้เสนอทฤษฎีพหุปัญญา
(altiple intelligence theory) 3 ด้าน คือ ด้านภาษา
ด้านตรรกะและ คณิตศาสตร์ ด้านดนตรี ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
ด้านการรู้จักตนเอง ด้านความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล
และด้านความเข้าใจธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ผู้สอนสามารถใช้แบบการเรียนรู้ที่มาจากสติปัญญา
หนึ่งด้านหรือสองด้านเพื่อให้เกิดการเรียนการสอนมีประสิทธิผลสูงสุด โดยปกติผู้สอน
ทดสอบ และการ ได้รับข้อมูลป้อนกลับประกอบด้วยสติปัญญาสองด้าน คือ ภาษา (verballinguistic)
และเหตุผล (logical mathematical) การนําแนวคิดพหุปัญญามาใช้ควรจะเป็นการใช้คุณลักษณะเด่นของสติปัญญาเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
ประการสําคัญผู้สอนต้องคํานึงอยู่เสมอว่าในชั้นเรียนหนึ่ง ๆ
ผู้เรียนทุกแบบการเรียนรู้ ดังนั้นผู้สอนจําเป็นต้องใช้แบบการสอน (teaching
style) ที่หลากหลายเพื่อ
ตอบสนองแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ครอบคลุม ผู้เรียนมีโอกาสได้พัฒนาความสามารถของตนเองเต็มตามศักยภาพ
พหุปัญญา
(Multiple
Intelligences)
Howard Gardner (2011) Gardner,
Howard. Frames of Mind: The Theory of Multiple Intelligente New York: Basic
Books, 2011. ได้พัฒนาทฤษฎีพหุปัญญาโดยทฤษฎีโต้แย้งความคิดเกี่ยวกับความเก่งแล้ว
ปัญญาของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่เคยระบุความหมายไว้แต่เดิมซึ่งเรียก
“ไอคิว” (IQ) นั้นไม่เคย
พอที่จะนําไปสู่การแสดงความสามารถของมนุษย์ที่มีมากมายหลากหลาย
ที่แนวคิดเดิมเน้นปัญญา มนุษย์เพียงสองด้าน คือ ด้านภาษาและค้านคณิตศาสตร์
การ์ดเนอร์ได้เสนอแนวคิดว่าปัญญาที่หลาก หรือพหุปัญญาจะพบในทุกวิถีชีวิต
การเรียนรู้ที่ดีที่สุดอาจเกิดจากตัวป้อนที่ให้ผ่านวิธีการที่ต่างกัน ผู้
อาจจะทําได้ดีในเรื่องที่ไม่ใช่คณิตศาสตร์ หรืออาจจะมีกระบวนการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งกว่า
ที่เหนือชั้นกว่า แค่จําหลักคิดได้เท่านั้น การ์ดเนอร์เสนอว่าปัญญามีอยู่ 8 ด้าน ดังต่อไปนี้
1.ปัญญาด้านภาษา (Linguistic
intelligence) เป็นปัญญาความสามารถในการใช้ถ้อยคํา (“word
smart")
2. ปัญญาด้านตรรกะ – คณิตศาสตร์ (Logical-mathematical
intelligence) เป็นปัญญา เมารถทางด้านจํานวนตัวเลขและเหตุผล (number/reasoning
smart”)
3. ปัญญาด้านมิติ (Spatial
intelligence) เป็นปัญญาความสามารถด้านการคิดเป็นรูปภาพ
มองเห็นโลกในรูปของภาพ และสามารถจําลองสร้างภาพนั้น ๆ ได้ (“picture smart”)
4. ปัญญาทางด้านดนตรี Musical
intelligence เป็นปัญญาที่มีความสามารถสูงทางด้านดนตรี คือ
รถและชื่นชมในเสียง ทํานองจังหวะ และสามารถผลิตสียง ทํานองจังหวะได้ดี (“music
smart”)
5. ปัญญาด้านร่างกาย
การเคลื่อนไหว(Bodily-Kinesthetic intelligence) เป็นปัญญาความสามารถพิเศษในการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกาย
และในการใช้มือเพื่อจัดกระทํากับสิ่งของ (“body Smart”)
6.ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal
intelligence) เป็นปัญญาความสามารถพิเศษ ในการทํางานร่วมกับผู้อื่น
มีความเข้าใจผู้อื่นสามารถที่จะสังเกตรับรู้อารมณ์ ความคิดความปราถนาของ ผู้อื่น (
people smart”)
7.ปัญญาด้านด้านปฏิสัมพันธ์ต่อตนเอง (Intrapersonal
intelligence) เป็นปัญญาความสามารถ เข้าใจอารมณ์ของตนเองได้ดี (“self
smart”)
8. ปัญญาด้านการเข้าใจเรื่องธรรมชาติ (Naturalist
intelligence) เป็นปัญญาความสามารถสังเกต เชื่อมโยงข้อมูลกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ
(“nature smart”)
สาระสําคัญเกี่ยวกับทฤษฎีพหุปัญญา คือ
ทุกคนมีปัญญาทั้ง 8 ด้านนี้ในตน และปัญญาแต่ละด้าน
สามารถพัฒนาให้อยู่ในระดับใช้การได้ การ์ดเนอร์กล่าวสรุปไว้ว่า ปัญญาทั้ง 8
ด้านจะสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตจะไม่มีกิจกรรมใดที่ใช้เฉพาะปัญญาด้านใดด้านเดียว
คําแนะนําที่ดีก็คือ ไม่ทุ่มเทไปที่ ปัญญาด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว
แต่ควรจะสัมพันธ์ปัญญาหลายๆ ด้านในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา
แบบการสอน
แบบการสอน (Styles of teaching) เป็นการแสดงคุณค่าของครูแต่ละคน
เป็นปัจจัยส่วนบุคคลที่ ท้าให้ครูคนหนึ่งแตกต่างไปจากครูคนอื่นๆ
ประกอบด้วยการแต่งกาย ภาษา เสียง กริยาท่าที่ ระดับพลัง การแสดงออกทางสีหน้า
แรงจูงใจ ความสนใจในบุคลอื่น ความสามารถในการแสดงเชาว์ปัญญาและความคง แก่เรียน
ครูมีความพร้อมที่จะปรับสไตล์การอนแบบใดแบบหนึ่ง
โดยครูสอด หรือไม่ก็ได้ เสมือนผู้ช่วยเหลือ ผู้กวดขันวินัย นักแสดง เพื่อน
ภาพลักษณ์ของพ่อหรือแม่ ผู้ปกครองที่มีอำนาจ
จิตรกรพี่ชายใหญ่หรือพี่สาวใหญ่หรือแสดงหรือเป็นตัวอย่างของรูปแบบการสอน
สไตล์การสอนเป็น
ครูที่มีเสียงสูงและเสียงแบนจะมีความยากในการใช้วิธีสอนแบบบรรยาย
ครูที่แต่งเครื่องแบบภาควิชา
ท่าทางที่เป็นทางการจะสามารถจัดการกับห้องเรียนที่อีกทึกได้
ครูที่ขาดความเชื่อมั่นในทักษะการจัดอง
อาจจะรู้สึกไม่ชอบใจกับความเป็นอิสระอย่างไม่มีขอบเขตของผู้เรียนไม่ชอบใจกับการอภิปรายชนิดที่เป็น
ปลายเปิด และถ้าครูระดับต่ํามีแนวจูงใจต่ําที่จะปฏิเสธการอ่านเรียงความหรือรายงานประจําภาคของผู้เรียน
อย่างระมัดระวังแล้ว วิธีเช่นนี้จะมีประโยชน์น้อยมาก
ครูที่มีใจชอบความคงแก่ผู้เรียน
ชอบที่จะรวมเอาวิธีสอนหลากหลายที่ได้จากผลการวิจัยมาน ความ
ให้ความสนใจกับประชาชนจะเลือกวิธีสอนที่ครูและนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันและนักเรียนไม่เพียงแต่จะ
ปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วๆ ไปทั้งในและนอกโรงเรียนด้วย
ครูที่มีความเชื่อมั่นกับงานของตนเอง
จะเชื้อเชิญให้ผู้อื่นมาเยี่ยมชมชั้นเรียนจะใช้ทรัพยากรบุคคล โสตทัศนูปกรณ์
วีดีทัศน์ เป็นกิจกรรมในชั้นเรียน ครูที่มีความเป็นประชาธิปไตยจะออกแบบกิจกรรมการ
เรียนการสอนที่ยอมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ครูบางคนปฏิเสธที่จะใช้โสตทัศนูปกรณ์
เพราะรู้สึกว่าไม่มีสมรรถนะเพียงที่จะใช้เครื่องมือ และ
เจตคติว่าการใช้สื่อทําให้เสียคุณค่าของเวลา
แบบการสอนของผู้สอน
มีความสัมพันธ์บางอย่างกับแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังที่กล่าวมาแล้ว
ผู้เรียนบางคนมีความสามารถในการแสดงออกด้วยการพูดดีกว่าการเขียน
บางคนสามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับ เรื่องของนามธรรม ในขณะที่คนอื่นๆ
เพียงแต่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น บางคน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการใช้เทคนิคการฟังและการดูมากกว่าการอ่าน
บางคนสามารถทํางานมาก ความกดดันได้
ผู้เรียนที่มีแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างในแบบการสอนด้วย ในความจริงแล้วจ้า
มากขึ้นเท่าไรความแตกต่างของผู้เรียนยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
ผู้สอนต้องรับรู้ว่าแบบการสอนสามารถให้การ กระทบอย่างแรงกล้าต่อสัมฤทธิ์ผลของผู้เรียน
แบบการสอนแต่ละครั้งสามารถที่จะผสมผสานให้เข้ากับจุดหมายของผู้เรียนได้
แบบการสอนไม่สามารถเลือกในลักษณะเดียวกันกับการเลือกกลวิธีการสอนได้
แบบการสอนไม่ใช่สิ่งที่พร้อมที่จะเปิดปิดสวิตซ์ได้
ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายที่จะเปลี่ยนการมุ่งงานไปเป็นการมุ่งให้ผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง
เรื่องทํานองนี้เป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะทําได้ เหนือสิ่งอื่นใด
ผู้สอนที่ไม่มีการตื่นเต้นทางอารมณ์
เป็นผู้สอนที่มีความตื่นเต้นทางอารมณ์ได้หรือไม่
มีคําตอบอยู่สองคําถามเกี่ยวกับแบบการสอนว่า การเปลี่ยนแบบการสอนได้หรือไม่ และผู้สอนควรเปลี่ยนแบบการสอนหรือไม่
บางที่จะพบว่า คําถามที่ยิ่งใหญ่ คือ ผู้สอนควรเปลี่ยนแปลงแบบการสอนหรือไม่
มีคําตอบอยู่สาม ถามที่ตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าผู้สอนสามารถเปลี่ยนแบบการสอนได้ คือ
ประการแรก แนวคิดที่ว่า แบบการสอนตรงกับแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน จึงได้มีความพยายามที่จะวิเคราะห์แบบการสอนและแบบ
คนรู้ของผู้เรียนอย่างถูกต้องสมควร
และจัดกลุ่มผู้เรียนและผู้สอนที่มีแบบการเรียนและแบบการสอนที่สอดคล้องกัน
ประการที่สอง ตามแนวความคิดที่ว่า
มีคุณความดีบางอย่างในการที่จะเผยให้ผู้เรียนทราบถึงแบบ การเรียนรู้ของบุคคลที่มีความหลากหลายแตกต่างกันอย่างมากในระหว่างที่พบเห็นในโรงเรียน
เพื่อให้ผู้เรียนจะได้เรียนรู้การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในแบบต่างๆ
แม้ว่าผู้เรียนบางคนอาจจะชอบมากกว่าที่จะให้มี โครงสร้างแต่เพียงเล็กน้อย
ไม่เป็นทางการ ใช้วิธีการผ่อนคลายในขณะที่อยู่ในโรงเรียน ผู้เรียนที่จบจาก
มัธยมตอนปลายที่มุ่งงาน และผู้สอนที่ยึดวิชาเป็นศูนย์กลางจะเป็นคนที่เรียกว่า
เท้าอุ่น จะมีหลัก มีความ มั่นคงช่วยให้ประสบผลสําเร็จ
ประการที่สามต่อคําถามว่า
ผู้สอนควรจะเปลี่ยนแบบการสอนหรือไม่ มีแนวคิดว่า ครูควรจะ ยืดหยุ่น ใช้แบบการสอนให้มากว่าหนึ่งแบบ
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าหลากวิธีการสอนให้ผู้เรียนกลุ่ม เดียวกัน
หรือกับผู้เรียนต่างกลุ่มกันคําตอบนี้รวมถึงลักษณะของการตอบประการแรกประการที่สองด้วย
ผู้สอนจะมีหลากหลายแบบการสอนสําหรับกลุ่มผู้เรียนพิเศษด้วยสัญลักษณ์ที่เหมือนกัน ถ้าผู้สอนสามารถทํา
ได้ ทําให้ผู้เรียนพบกับแบบการสอนที่หลากหลายของผู้สอน อย่างไรก็ตาม
กลยุทธ์ที่รับเลือกต้องอนุโลมให้มี แบบการสอนที่สามารถเรียนแบบได้ด้วย นั่นคือ
เหตุผลที่แสดงว่า ทําไมเป็นเรื่องสําคัญสําหรับผู้สอนที่ต้องรู้ ว่าผู้เรียน
เป็นใคร เป็นอะไร และเชื่อถืออะไรบ้าง ดันน์และดันน์ ได้กล่าวว่า
เกี่ยวกับผลของเจตคติความเชื่อ ของครูต่อแบบการสอนว่า
เจตคติของครูต่อโปรแกรมการเรียนการสอน
วิธีการสอนและแหล่งวิทยาการที่หลากหลาย คลอดจนลักษณะของเด็กๆ
หรือผู้เรียนที่ผู้สอนชอบทํางานด้วยผสมผสานหลอมหล่อกันเป็นส่วนหนึ่งของ
“แบบการสอน” อย่างไรก็ตามมีความจริงอยู่ว่า
ผู้สอนบางคนเชื่อในรูปแบบของการเรียนการสอนพิเศษซึ่งไม่ใช่การปฎิบัติอื่นๆ
พืชเชอร์และฟิชเชอร์
ได้บ่งชี้แบบการสอนที่ประกอบด้วย การรอบรู้ภาระการงาน การ การร่วมมือกัน
การให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการให้ความตื่นเต้นทางอารมณ์และเป็นแบบอย่าง
การมุ่งงาน
ครูจะกําหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และบอกถึงความต้องการในการปฏิบัติงา. นักเรียน
การเรียนที่จะประสบผลสําเร็จอาจจะเฉพาะเจาะจงไปที่พื้นฐานของนักเรียนแต่ละคน
และมีระ จะให้นักเรียนแต่ละคนเป็นไปตามความคาดหวังอย่างชัดเจนมั่นคง
การวางแผนการร่วมมือกัน
ครูร่วมกันวางแผนวิธีการและจุดหมายปลายทางของการเรียนการ
ด้วยความร่วมมือของนักเรียน ครู ไม่เพียงแต่จะรับความคิดเห็นเท่านั้น
แต่ครูต้องกระตุ้นให้การสนับสน การมีส่วนร่วมของนักเรียนทุกระดับชั้นด้วย
การให้นักเรียนเป็นจุดศูนย์กลาง ครูจัดหาจัดเตรียมโครงสร้างต่างๆ
สําหรับนักเรียนเพื่อให้ติดต แสวงหาความรู้ตามที่ต้องการหรือตามความสนใจ
สไตล์แบบนี้ไม่เพียงแต่จะพบว่ามีน้อย แต่เกือบจะเป็นไป
ไม่ได้ที่จะจินตนาการให้เป็นไปตามที่คาดหวัง
เพราะว่าชั้นเรียนที่มีอัตราส่วนระหว่างนักเรียนกับครู และ นักเรียนกับสิ่งแวดล้อมในความรับผิดชอบจะกระตุ้นส่งเสริมความสนใจของนักเรียนบางคน
และทําให้นักเรียนบางคนเกิดความท้อแท้ใจ
การให้เนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลาง
วิธีการนี้ครูจะเน้นไปที่เนื้อหาวิชาที่จัดไว้ดีแล้ว โดยกับผู้เรียน ออกไป
และคิดว่าเนื้อหาวิชาที่จัดนั้น ครอบคลุมรายวิชาครูจะพึ่งพอใจแม้ว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นน้อย
การให้การเรียนรู้เป็นศูนย์กลาง
วิธีการนี้ครูจะให้ความสําคัญเท่าๆ กันระหว่างนักเรียนและ จุดประสงค์ของหลักสูตร
ตลอดจนสิ่งที่จะใช้ในการเรียน ครูจะปฏิเสธการเน้นอย่างมากเกินไปทั้งในด้าน
การให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
และการให้เนื้อหาเป็นศูนย์กลางแทนการช่วยเหลือนักเรียน โดยไม่คํานึงว่า
นักเรียนมีความสามารถหรือไม่มีความสามารถ
เพื่อที่จะพัฒนาไปสู่เป้าประสงค์ที่มีความเป็นไปได้ให้ดีเท่าๆ
กับอิสรภาพในการเรียนรู้ของนักเรียน
ให้มีการตื่นเต้นทางอารมณ์และเป็นแบบอย่าง
วิธีการนี้ครูจะแสดงอารมณ์ที่เกี่ยวกับการสอนอย่างเข้มข้นครูจะเข้าไปอยู่ในกระบวนการสอนอย่างใจจดใจจ่อ
และโดยปกติแล้วจะก่อให้เกิดบรรยากาศของชั้นเรียนที่ตื่นเต้นและมีอารมณ์ร่วมสูง
ไม่มีข้อสงสัยเลยที่จะพบว่าประเภทของการสอนบางอย่างชวนให้ใช้และได้รับการยอมรับมากกว่าประเภทอื่น
ๆ เราอาจจะบ่งชี้ได้ว่าการสอนบางประเภทเป็นลบ
(ตัวอย่างคือ พฤติกรรมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย) บางประเภทเป็นบวก
(เช่นการคำนึงถึงนักเรียน) เราซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตคงจะยอมรับประเภทของการสอนซึ่งเป็นแบบอย่างของตนดังที่ฟิชเชอร์และฟิชเชอร์ได้กล่าวว่า
เราไม่ได้พิจารณาว่าสไตล์การสอนและการเรียนรู้ทั้งหมดมีความเหมาะสมเท่าเทียมกันมีอยู่บ่อยครั้งที่การสอนนั้น
ๆ เป็นสิทธิของการปฏิบัติที่ไม่สามารถจะโต้แย้งได้“ เอาล่ะนั้นมันเป็นวิธีการของผม
/ ฉัน ผมมีวิธีการของผม คุณมีวิธีการของคุณ
และแต่ละวิธีการก็ดีเหมือน ๆ กับวิธีการอื่น ๆ”
...ถ้าทุกควมคิดของวิธีการนั้น ๆ อยู่บนพื้นฐานของความผูกพันต่อการเรียน การสอนรายบุคคลและพัฒนาการของอิสรภาพคนเราไม่ยอมรับการสอนประเภทที่ส่งเสริมการบังคับให้ปฏิบัติตามและขึ้นอยู่กับผู้อื่น
(Filler and เct. 1976 1 409 4101)
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment)
Jon
Wiles (2009: 56 57)
สรุปว่า สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment) หมายถึง
สภาวะแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวผู้เรียน ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ในด้านรูปธรรมเป็นสภาพแวดล้อมทางยายภาพได้แก่สภาพแวดล้อมในห้องเรียน
เช่นขนาด การวางผัง แสง ที่นั่ง ส่วนสภาพแวดล้อมภายนอกห้องเรียน เช่นห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หรือทางภาษา
โดยสามารถใช้อาคารในการจัดพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้โดยเฉพาะ
จัดสื่อที่หลากหลาย สำหรับนักเรียนแต่ละคนและเป็นสื่อบูรณาการสะดวกเหมาะสมกับหลักสูตร
เป็นศูนย์การเรียนรู้สื่อประสมเป็นต้นสภาพแวดล้อมที่เป็นนามธรรม ได้แก่
การจัดการเรียนการสอน สภาพแวดล้อมทางจิตใจหรือบรรยากาศทางจิตใจ ส่งผลต่อผู้เรียนทั้งทางบวกและทางลบ
ตลอดจนมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้โดยสรุปสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
(Learning Environment) เกี่ยวข้องโดยตรงกับ การจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลการเรียนรู้คือมีความรู้สมรรถนะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์
Bod Pearlman (http: / / go. solution-tree. com 21stcenturyskills
อ้างถึงใน นฤมล ปภัสสรานนท์ 2558: 67-68)
ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนทักษะในศตวรรษที่
21 โดยตั้งคำถามว่า
"ความรู้และทักษะอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21"
และควรตอบคำถามตามประเด็นคำถามต่อไปนี้
-อะไรคือหลักสูตรการเรียนการสอนและกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21
-สิ่งที่ใช้ประเมินผลการเรียนรู้ทั้งระดับโรงเรียนและระดับชาติเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน
การมีส่วนร่วมของนักเรียนและการบริหารตนเอง
-เทคโนโลยีจะสามารถสนับสนุนการเรียนการสอนหลักสูตรและการประเมินผลของศตวรรษที่
21 เพื่อสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างไร
-อะไรคือสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ทางกายภาพ
(ห้องเรียนโรงเรียนและโลกแห่งความจริง) ส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
จากการศึกษาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21 (21st Century Learning Environments) จาก ww. 21stcenturyskills. org route21
ได้นำเสนอสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ไว้ว่า คือระบบสนับสนุนที่จัดสรร เพื่อให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ที่ดีที่สุด
เป็นระบบที่รองรับความต้องการ เพื่อการเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียนทุกคนและสนับสนุนความสัมพันธ์กับมนุษย์ในทางที่เป็นประโยชน์เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสภาพแวดล้อมการเรียนรู้
เป็นการรวมเอาโครงสร้างเครื่องมือและชุมชนที่สร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนและนักการศึกษา
เพื่อที่จะบรรลุความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21 นี้ตามความต้องการของทุกคนสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21 จะเป็นระบบที่สอดคล้องกันได้อย่างลงตัวคือ
-สร้างข้อปฏิบัติเพื่อการเรียนรู้
ให้การสนับสนุนจากผู้คนโดยรอบและสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่จะให้การสนับสนุนการเรียนการสอนและการเรียนรู้
เพื่อให้ได้ผลเชิงทักษะในศตวรรษที่ 21
-สนับสนุน
ชุมชน การเรียนรู้ระดับ มืออาชีพที่ช่วยให้ นักการศึกษา ทำงานร่วมกันแบ่งปันวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดและบูรณาการทักษะในศตวรรษที่
21 ไปสู่การปฏิบัติในห้องเรียน
-ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ใน
บริบท ของศตวรรษที่ 21 เช่นผ่านโครงการหรืองานอื่น ๆ ที่นำไปใช้
-ช่วยให้เข้าถึง
เครื่องมือการเรียนรู้ที่มีคุณภาพเทคโนโลยีและทรัพยากร
-จัดสรร
ให้การออกแบบ เชิงสถาปัตยกรรม และการตกแต่งภายในศตวรรษที่21 สำหรับการเรียนรู้แบบกลุ่ม, ทีมงานและของแต่ละบุคคล
-รองรับ
ชุมชนที่มีการขยายตัว และการมีส่วนร่วมระหว่างประเทศในการเรียนรู้ทั้งการเรียนแบบเผชิญหน้า
face to face และออนไลน์
กลวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ
(Classroom Instruction That works)
Marzano
(2012) ได้เสนอกลวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
1.
การสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Creating
the Environment for Leaming)
2.
การช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้ความเข้าใจ (Heping
students Develop Understanding)
3.
การช่วยให้ผู้เรียนให้ขยายและนำความรู้ไปใช้ (Helping
students Extend and Apply Kinowledge) กลวิธีที่ 1 เป็นพื้นฐานสำคัญเมื่อผู้สอนสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น
ตลอดจนการติดตามและพัฒนาความรู้ของตนเอง
กลวิธีที่
2 เป็นการช่วยผู้เรียนในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ จัดการกับความรู้ จัดลำดับและเชื่อมโยงความรู้เท่ากับความรู้ใหม่
ตรวจสอบความรู้และสร้างมโนทัศน์ (Concepl) ที่ถูกต้อง ซึ่งกระบวนการบูรณาการและเรียนรู้กระบวนการในแต่ละประเภทของความรู้จะเกี่ยวข้องกับ
1) การสร้างขั้นตอนที่จำเป็นในแต่ละกระบวนการหรือทักษะ
2) พัฒนามในทัศน์และความเข้าใจในกระบวนการและการปฏิบัติอย่างหลากหลาย
3)
ปฏิบัติตามทักษะที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นประจำ
กลวิธีที่
3 คือ ช่วยผู้เรียนขยายและประยุกต์ใช้ความรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ความรู้มากกว่าคำตอบที่ถูกต้อง
(right answer) โดยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ ขยายขอบข่ายความรู้
โดยประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตจริงเป็นบริบทแห่งความเป็นจริง (Real-world Contexts) มีความเป็นเหตุเป็นผล จึงเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
การสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
(Creating the Environment for Learning)
Marzano:
(2012)
ได้สรุปกลวิธีการการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพในการสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ไว้ดังตาราง
ตารางที่ 14
กลวิธีการการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
1)
การกำหนดวัตถุประสงค์และให้ข้อมูลย้อนกลับ (Setting Objectives
Feedback)
|
2) เสริมแรงและสร้างความยอมรับ(Reinforcing
Effort and Providing Recognition)
|
3) การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperatives
Learning)
|
ช่วยพัฒนาความเข้าใจของผู้เรียน
( Helping students Develop Understanding
)
1)
ให้คำแนะนำ
(Cues)
2)
ใช้คำถาม
(Questions)
3)
ให้ความรู้มโนทัศน์ล่วงหน้า
(Advance Organizes)
4)
การแสดงออกโดยภาษากาย
(Nonlinguistic
Representations)
5)
สรูปความและบดบันทึก
(Summarizing and Note taking)
6)
มอบหมายการบ้านและให้ปฏิบัติ
(Assigning Homework and Providing
Practice)
|
ช่วยขยายและประยุกต์ใช้ความรู้ของผู้เรียน
(Help students Extend and Apply
Knowledge)
1)
ระบุความเหมือนความแตกต่าง
(Identifying Similarities and
Differences)
2)
สร้างและทดสอบสมมติฐาน
(Generating
and testing Hypotheses)
|
ตารางที่ 15 คำจำกัดความของกลยุทธ์การสอน
คำสำคัญ
|
ความหมาย
|
1) กำหนดวัตถุประสงค์และให้ข้อมูลย้อนกลับ
(Setting Objectives Feedback)
|
การให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทิศทางในการเรียนรู้และเป้าหมายในการพัฒนาทักษะการปฏิบัติ
|
2) การเสริมแรงและสร้างการยอมรับ
(Reinforcing
Flort and Providing Recognition)
|
การส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในเรื่อง
-ความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามและความสำเร็จโดยมุ่งสร้างทัศนคติที่ดีและความเชื่อมั่นในการเรียนรู้
-สามารถให้การยอมรับและเข้าใจอย่างเป็นรูปธรรมหรือยกย่องในความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
|
3) การเรียนแบบร่วมมือ
(Cooperative
Learning)
|
หมายถึง
การจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในการส่งเสริม
สนับสนุนการเรียนรู้
|
4) ให้คำแนะนำ, ใช้คำถามและมโนทัศน์ล่วงหน้า (Cues, Questions and Advance
Organizes)
|
คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถจดจำ
และจัดการกับความรู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา
|
5) การแสดงออกโดยภาษากาย
(Nonlinguistic
Representations)
|
หมายถึง
การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถนำเสนอและให้รายละเอียดในการแสดงถึงความรู้
|
6)สรุปความและจดบันทึก
(Summarizing
and Note taking)
|
หมายถึง การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและจัดการกับข้อมูลโดยการสรุปสาระสำคัญและข้อมูลสนับสนุน
|
7) มอบหมายงานและให้ปฏิบัติ
(Assigning
Homework and Providing Practice)
|
หมายถึง การให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ,
ทบทวนและประยุกต์ใช้ความรู้การสร้างเสริมให้นักเรียนได้เข้าถึงระดับของความเชี่ยวชาญในทักษะ
หรือ กระบวนการที่คาดหวัง
|
8) ระบุความเหมือนความแตกต่าง
(Identifying
Similarities and Differences
|
หมายถึง
การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจและสามารถใช้ความรู้ กระบวนการทางปัญญาในการระบุหรือจำแนกสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง
|
9) สร้างและทดสอบสมมติฐาน
(Generating
and testingHypothescs)
|
หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมนักเรียนเข้าใจสามารถใช้ความรู้
และกระบวนการทางปัญญาในการสร้างและทดสอบสมมติฐาน
|
กลยุทธ์การสอนที่มีประสิทธิการสอนที่มีประสิทธิภาพตามแนวคิดของ
Marzano
ให้ชัดเจนตาการตั้งจุดมุ่งหมาย
/ จุดประสงค์ (Setting objectives) แนวทางการตั้งจุดประสงค์มีดังนี้
1) ตั้งรงค์ให้ชัดเจนตามเกณฑ์แต่ไม่ตายตัว 2) สื่อสารจุดประสงค์ให้กับผู้เรียนและครอบครัวได้เข้าใจ
3) เชื่อมโยงจุดประสงค์การเรียนรู้กับสิ่งที่เรียนรู้เดิมและการเรียนรู้ใหม่
4. ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้ของตนเอง
การให้ข้อมูลย้อนกลับ
(Providing Feedback) การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เกี่ยวกับประสงค์การเรียนรู้และนำไปสู่การพัฒนาการปฏิบัติและความเข้าใจ
ซึ่งแนวทางการให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีประสิทธิภาพดังนี้ 1) ข้อมูลย้อนกลับจะต้องมีความถูกต้องและละเอียดในสิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้และเป็นประโยชน์ต่อไป
2) การให้ข้อมูลย้อนกลับควรคำนึงถึงเวลาที่เหมาะสมและจำเป็น 3)
การให้ข้อมูลย้อนกลับเควรมีเกณฑ์อ้างอิงชัดเจน 4)
ควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลย้อนกลับ
การให้การเสริมแรง
(Reinforcing Effort) มีวิธีการดังนี้ 1)
สอนนักเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเสริมแรงและผลสัมฤทธิ์ 2)
แจ้งผู้เรียนให้ชัดเจนในวิธีการกระบวนการในการให้แรงเสริม 3) ถามผู้เรียนถึงผลที่เกิดจากการเสริมแรงสู่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
การให้การยอมรับ
(Providing Recognition) มีวิธีการดังนี้ 1) ส่งเสริมเป้าหมายมุ่งเน้นการเป็นผู้รอบรู้
2) ให้การยกย่องสำหรับสิ่งที่เป็นไปตามความจาดหรือทั้งในด้านการปฏิบัติและพฤติกรรม
3) ใช้สัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมในการแสดงการยอมรับเป็นการให้รางวัล
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Cooperative Learning) มีวิธีการดังนี้ 1)
ควรยึดหลักของการมีปฏิสัมพันธ์ทางบวกและการรับผิดชอบในความสำเร็จส่วนบุคคล 2)
จัดเป็นกลุ่มเล็ก 3-5 คน 3) ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างสอดคล้องและเป็นระบบ
การใช้การแนะนำและคำถาม
(Cues and Questions) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้เฉพาะประเด็นที่สำคัญ 2) ให้คำแนะนำที่ชัดเจน 3)
ถามคำถามเชิงอนุมาน 4) ถามคำถามเชิงวิเคราะห์
การให้มโนทัศน์ล่วงหน้า
(Advance Organizers) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้การอธิบายในการสร้างมโนไหนล่วงหน้า 2)
ใช้การบรรยายในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า 3)
ใช้สรุปภาพรวมในการสร้างมโนทัศน์สิวงหน้า
การใช้ภาษากายแสดงออก(Nonlinguistic Representations)
มีวิธีการดังนี้ถใช้กราฟิกในการ14อ 2) จัดกระทำหรือทำตัวแบบ 3)
ใช้รูปแสดงความคิดนำเสนอ 4) สร้างรูปภาพ, สัญลักษณ์
สรุปและจดบันทึก
(Summarizing and note taking)
มีวิธีการดังนี้ 1) สอนนักเรียนให้รู้จักวิธีบันทึกสรุปที่มีประสิทธิภาพ
2) ใช้แบบฟอร์มการสรุป 3) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการบันทึกการสอนซึ่งกันและกัน
การให้การบ้าน
(Assigning Homework) มีวิธีการดังนี้ 1) พัฒนาและสื่อสารนโยบายการมอบหมายการบ้านของโรงเรียน
2) ออกแบบการบ้านที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ทางวิธีการ 3)
ให้ข้อมูลย้อนกลับในงานที่มอบหมาย
การให้ฝึกปฏิบัติ
(Providing Practice) มีวิธีการดังนี้ 1) ต้องบอกถึงวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติอย่างชัดเจน
2) ออกแบบการปฏิบัติที่เจาะจงและเวลาเหมาะสม 3) ให้ทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหา
การบอกความเหมือนและความแตกต่าง
(Identifying Similarity) มีวิธีการดังนี้ 1) วิธีการบอกความเหมือนความแตกต่างที่หลากหลายวิธีแนะนำนักเรียนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการของการกำหนดความเหมือนความแตกต่าง
3) ให้คำแนะนำที่ช่วยให้นักเรียนกำหนดความเหมือนความแตกต่างได้
การสร้างและทดสอบสมมติฐาน
(Generating and testing Hypotheses) มีวิธีการดังนี้ 1) ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ในรูปแบบของการสร้างและทดสอบสมมติฐานที่หลากหลาย
2) การและให้นักเรียนอธิบายสมมติฐานและและข้อสรุป
สรุป (Conclusion)
ผู้สอนเป็นบุคคลที่มีความสําคัญมากต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
ผู้สอนทุกคนต้องตระหนักและ
ยอมรับเสมอว่าครูมีหน้าที่สอนผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันทุกกลุ่มและทุกรายวิชา
ไม่ว่าผู้เรียนจะมีความ พิการหรือไม่ก็ตาม
ผู้เรียนปกติทั่วไปก็มีความแตกต่างในความสามารถและลักษณะนิสัย ดังนั้นการคํานึงถึง
การออกแบบที่เป็นสากล (Universal Design ) จึงมีความจําเป็น
โดยก่อนอื่นผู้สอนต้องสํารวจทําความรู้จัก ผู้เรียนที่จะสอนให้ทั่วถึง
สํารวจดูว่ามีผู้เรียนที่พิการในห้องเรียนไหม หรือมีใครที่มีความต้องการพิเศษทาง
การศึกษา เช่น ทํางานช้า เรียนรู้ช้า มีสมาธิสั้น เป็นต้น และที่สําคัญ
ต้องสังเกตแบบ/ลีลาการเรียนรู้ (Learning Style) ของผู้เรียน
คือ ผู้เรียนบางคนสามารถเรียนรู้ได้ดีจากการฟังบรรยาย
ผู้เรียนบางคนจะเข้าใจได้ดีต้องมี รูปภาพประกอบหรือใช้สื่อตัวอย่างแสดงให้เห็น
หรือผู้เรียนบางคนต้องลงมือปฏิบัติ การจัดทําสื่อการสอน ควรคํานึงถึงผู้เรียนทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนปกติหรือพิการ เช่น จัดทําวิดีโอเทป หรือเพาเวอร์พอยท์
ประกอบเสียงและตัวหนังสือกํากับ เป็นต้น เมื่อรู้จักผู้เรียนแล้วผู้สอนจะได้เลือกแบบ/ลีลาการสอน
(Teaching Style) ได้ถูกแบบการสอนมีหลายแบบ
เพื่อให้เหมาะกับผู้เรียนหลายประเภท เช่น ในบางเนื้อหา อาจเป็นการบรรยาย
บางเนื้อหาอาจให้ลงไปเก็บข้อมูลตามแหล่งเรียนรู้ต่างๆ แล้วนํามาเสนอ
อภิปรายร่วมกัน เป็นต้น การเขียนคําอธิบายรายวิชาควรมีความชัดเจนว่า
ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนได้อะไร โดยวิธีใดและคาดหวังอย่างไร
ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเสนอแนะในสิ่งที่ต้องการอยากรู้เพิ่มเติม หรือปรับกิจกรรม
บางส่วนในรายวิชานั้นๆ ได้ด้วย
ตรวจสอบและทบทวน (Review and Reflect on your learning)
ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขั้น
การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล ปฏิบัติการเขียนแผน
จัดการเรียนรู้ด้วยเขียนแผนการสอนตามรูปแบบ the
STUDIES Model ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่สอดคล้อง
กับสาขาวิชาเอกที่เรียน
โดยกําหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้และจัดหาหรือผลิตสื่อการเรียนรู้ประกอบบทเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น